ทางบริษัทได้ย้ายเว็บไซต์ไปที่ www.nlcoffee.net เพื่อการใช้งานที่สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น คลิ๊กเพื่อเข้าเว็บไซต์ใหม่ได้ที่นี่ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่าเราใส่กาแฟมากพอไหม เพราะหากเราใส่กาแฟน้อย กาแฟจะชงออกมาไม่เข้ม อย่างแน่นอน วิธีดูว่าเราใส่กาแฟน้อยไปไหมคือดูที่กากกาแฟภายหลังการชง ต้องไม่มีน้ำค้างในด้ามชงจนทำให้กาแฟนิ่มเป็นโคลน หรือใช้นิ้วกดดู ที่ผงกาแฟหลังชง หากกากกาแฟเหลว แสดงว่าเราใส่กาแฟน้อยไป แม้เราจะใส่กาแฟมากเพียงใด แต่เมื่อกาแฟที่เราบดออกมาหยาบเกินไป จนทำให้น้ำกาแฟถูกสกัดออกมาได้ง่าย ( 1 ออนซ์ ต้องใช้เวลาสกัดไม่ต่ำกว่า 20 วินาที) กาแฟที่หยาบจะทำให้รสชาติกาแฟไม่ได้เต็มที่ รสชาติจะจืด หรือดูครีม่าของกาแฟที่ออกมาน้อยกว่าปกติ สีออกขาวครีม ในบางครั้งการเก็บกาแฟไม่ดีทำให้กาแฟโดนแสง โดนอากาศนานๆเข้า จะทำให้กาแฟเก่าเร็วเพราะเมล็ดกาแฟเมื่อถูกออกซิเจนภายนอกจะทำปฏิกิริยา ออกซิเดชั่น และทำให้กาแฟเหม็นหื่นในที่สุด เราควรเก็บกาแฟให้ถูกวิธี อ่านวิธีเก็บกาแฟเพิ่มเติม เราไม่ควรซื้อกาแฟมาตุนไว้ใช้นานเกิน 4 เดือน เพื่อหลีกเลี่ยงกาแฟเก่า เครื่องชงกาแฟจะสกัดน้ำกาแฟออกมาโดยใช้อุณหภูมิเฉลี่ย 88-96 องศา ตามแต่ละรุ่น แต่หากเครื่องชงกาแฟต้มน้ำไม่ทัน แล้วใช้กาแฟที่อุณหภูมิต่ำกว่า 88 องศาลงไป ผลลัพธ์ที่ได้คือกาแฟจะติดเปรี้ยว และไม่รสชาติแปลกไปจากเดิม ตระแกรงชงกาแฟ สองขนาดนั้นมีรูที่ตระแกรงไม่เท่ากัน ความจุไม่เท่ากัน การนำเอาตระแกรงชงเย็นมาชงกาแฟร้อนโดยใส่กาแฟแค่ครึ่งตะแกรงนั้นผิดอย่างมหันต์ เพราะตระแกรงเย็นรูตะแกรงจะมากน้ำกาแฟจะไหลผ่านได้ง่ายส่งผลให้กาแฟรสชาติไม่เข้ม ส่วนผสมหลักที่ทำให้กาแฟโดยกลบกลิ่นได้ง่ายที่สุดอันเกิดจากการใส่นมข้นหวานมากเกินไป นมข้นหวานเป็นการปรุงเพื่อใส่ไขมันปาล์ม และน้ำตาล กับกลิ่นนม ลงไปในกาแฟใส่มากแน่นอนกว่ากาแฟจะมัน แต่กลิ่นนมก็ไปกลบกลิ่นกาแฟด้วย ตระแกรงที่หัวชงกาแฟจะเป็นแหล่งสะสมของคราบกาแฟเก่าที่เราชงออกมาทุกถ้วย การกดน้ำทิ้งมิได้ทำใ้ห้หัวชงกาแฟสะอาดขึ้นแต่การล้างด้วยวิธี Back Flush จะช่วยท่านได้ อ่านวิธีการล้างเครื่องอีกหัวข้อหนี่ง อาการ Burn ที่หัวจ่ายที่ส่วนมากจะเกิดกับเครื่องชงกาแฟระบบ heat exchange เพราะเมื่อเรามิได้ชงกาแฟมาเกินกว่า 5-10 นาที หัวจ่ายน้ำกาแฟจะมีน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย จนทำให้น้ำมีอุณหภูมิมากกว่า 96 องศา ผลที่ได้คือน้ำร้อนชุดแรกที่สกัดกาแฟออกมาจะสูงเกินไป จนได้น้ำกาแฟที่เข้มเหม็นไหม้ อาการนี้เป็นปัญหาหลักสำหรับร้านกาแฟที่มีสูตรการชงกาแฟเย็น โดยใช้น้ำที่สกัดออกมา มากกว่า 3 ออนซ์ เพราะจากการวิจัยในต่างประเทศนั้นเมื่อเราชงกาแฟแล้วมีการดึงน้ำกาแฟออมากมากๆ จะทำให้มีค่า Smoke Favor หรือกลิ่นไหม้ตามออกมาเรื่อยๆ ปัญหาจากการที่ใช้เครื่องบดเล็กๆ ราคาถูกเครื่องบดกาแฟมีจานบดเล็ก ระบายความร้อนไม่ดี เพราะเมื่อลูกค้าบดกาแฟออกมามากขึ้นจนทำให้จานบดกาแฟร้อน ผงกาแฟจะร้อนและคลายกลิ่นออกมาสุญเสียรสชาติไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกาแฟจะละเอียดบ้างหยาบบ้างต่างกันไป จานบดกาแฟมีอายุเฉลี่ย 100-500 กก. ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และเมื่อฟันบดไม่คม การบดก็จะกลายเป็นการโม่ (การโม่คือการทำให้ละเอียดด้วยการบี้) ซึ่งแน่นอนว่าผงกาแฟจะออกมาอุ่นหรือร้อน ส่งผลทำให้กาแฟที่ชงออกมาเพี้ยน การโดสกาแฟ เป็นทักษะที่สำคัญของบาริสต้า ในการใส่กาแฟลงในด้ามชงให้เท่ากันทุกครั้ง กดกาแฟให้แน่นเท่ากัน กดกาแฟให้ได้ระนาบที่ตรงไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง เพราะการโดสที่ไม่นิ่งส่งผลทำให้กาแฟออกมาไม่นิ่งเช่นกัน กาแฟที่โดนอากาศนาน จะคลายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมามากขึ้น และเมื่อทำการชงกาแฟครีม่าจะน้อย เพราะครีม่าที่เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถูกคลายออกไปหมดแล้ว แม้กาแฟจะเพิ่งคั่วใหม่แต่หากเราทิ้งกาแฟไว้ภายนอกรับรองว่ากาแฟจะสูญเสียกลิ่นไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นควรใช้กาแฟให้หมดถึงที่เปิดแล้วภายใน 7 วัน ไม่ว่าเราจะทำการเก็บกาแฟให้ดีเพียงใดกาแฟจะสูญเสียคุณภาพออกไป เรื่อยๆ คุณภาพกาแฟจะดีที่สุดภายหลังคั่ว 2 สัปดาห์ ขึ้นไปจนถึง 3-4 เดือน เพราะกาแฟที่ใหม่เกินกว่านี้ จะยังไม่มีการหมักตัวที่ดีพอเพื่อก่อให้เกิดเอกลักษณ์ที่ชัดเจน ชงออกมาแม้มีครีม่ามากมายแต่ก็ยังไม่ใช่รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจน กับกาแฟที่เกิน 4 เดือน หากถุงกาแฟที่ไม่มีวาล์วจะทำใ้ห้กาแฟไปทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่นจนกาแฟมีกลิ่นหื่น แปลกๆ แน่นอนว่าอุณภูมิที่เครื่องชงต้มน้ำรอสกัดกาแฟจะนิ่งที่ประมาณ 88-96 องศา (ตามแต่ยี่ห้อ) แต่ด้ามชงกาแฟที่วางทิ้งไว้ในห้องแอร์หรืออากาศยามเช้า ด้ามชงที่เป็นโลหะจะเย็นมีอุณภูมิ 23-26 องศา เมื่อนำมาชงกาแฟย่อมดึงเอากาแฟให้เย็นลงทันที และในบ้างครั้งถ้วยกาแฟที่มิได้อุ่นก็มีอุณหภูมิ 23-26 องศา จนทำให้น้ำกาแฟออกมาที่ 50-75 องศา ผลลัพธ์คือกาแฟร้อนที่เลวร้ายที่แม้แต่ ครีมเทียมก็ไม่ละลาย |